คู่มือการวางแผนภาษีสำหรับผู้ประกอบ SME ฉบับอัพเดทปี 2567

1. ค่าลดหย่อนส่วนตัวจำนวน 60,000 บาท เป็นค่าลดหย่อนสำหรับคนมีเงินได้ทุกคนที่ยื่นแบบแสดงรายการ

2. ค่าลดหย่อนคู่สมรสจำนวน 60,000 บาท เป็นค่าลดหย่อนของคู่สมรส (ตามกฎหมาย) กรณีที่คู่สมรส (สามีหรือภรรยา) ที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้และเลือกยื่นแบบแสดงรายการรวมกันในการคำนวณภาษี

3. ค่าลดหย่อนบุตรจำนวน 30,000 บาท โดยคำว่า “บุตร” หมายถึง บุตรโดยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรม สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ คนละ 30,000 บาท ซึ่งในกรณีที่เป็นบุตรโดยกฎหมายสามารถหักได้ไม่จำกัดจำนวนคน

กรณีที่เป็นบุตรบุญธรรม หรือ มีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรชอบด้วยกฎหมายจะหักได้สูงสุดไม่เกิน 3 คน (นับเฉพาะที่มีชีวิตอยู่) โดยมีเงื่อนไขดังนี้ครับ

  • บุตรต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี
  • ถ้าอายุอยู่ในระหว่าง 21-25 ปี ต้องศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ขึ้นไป
  • บุตรต้องมีเงินได้ในปีไม่ถึง 30,000 บาท (ยกเว้นกรณีเงินปันผล)

สำหรับค่าลดหย่อนบุตรจะมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมให้ คนที่มีบุตรคนที่ 2 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จะได้รับสิทธิเพิ่มอีก 30,000 บาทต่อคนรวมเป็น 60,000 บาท 

4. ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตรตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้ครับ

  • ต้องจ่ายเป็น “ค่าฝากครรภ์” และ “ค่าคลอดบุตร” ที่จ่ายให้กับสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน
  • จำนวนเงินสูงสุดต่อครรภ์ คือ 60,000 บาท คิดเป็นต่อครรภ์ไม่ใช่คน
  • ถ้าจ่ายสำหรับการคลอดบุตรคนเดิม แต่จ่ายมากกว่า 1 ปี (ท้องปีนี้ คลอดปีหน้า) ให้ลดหย่อนตามปีที่ใช้ แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท
  • กรณีสามีภรรยาต่างฝ่ายต่างยื่นภาษี ให้ถือว่าค่าลดหย่อนตัวนี้เป็นของภรรยา แต่ถ้าภรรยาไม่มีเงินได้จึงสามารถถือเป็นค่าลดหย่อนของสามีได้
  • เอกสารหลักฐานที่ใช้ลดหย่อน คือ ใบเสร็จรับเงินและใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาล

5. ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่เราและพ่อแม่คู่สมรส คนละ 30,000 บาท ถ้าหากเราหรือคู่สมรสมีคุณพ่อคุณแม่ที่อายุมากกว่า 60 ปี และมีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท เราก็จะมีสิทธิหักลดหย่อนค่าเลี้ยงดูได้คนละ 30,000 บาท

ส่วนเรื่องเอกสารหลักฐานนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องลงลายมือชื่อในหนังสือรับรอง (แบบ ลย.03) ว่าลูกคนไหนเป็นคนเลี้ยงดู และสิทธิในการเลี้ยงดูนั้นจะสามารถใช้สิทธิได้เพียงครั้งเดียวครับ เช่น พี่น้องสองคน คนโตใช้สิทธิลดหย่อนเลี้ยงดูพ่อ คนเล็กก็ไม่สามารถใช้สิทธิเลี้ยงดูพ่อแล้วครับ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เฉพาะแม่ หรือถ้าคนโตใช้สิทธิทั้งคุณพ่อคุณแม่ ลูกคนเล็กก็ไม่มีสิทธิแล้วครับ

6. ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือคนทุพพลภาพ จำนวน 60,000 บาท ถ้าหากเราเป็นผู้ดูแลคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือคนทุพพลภาพที่มีใบรับรองแพทย์ เราสามารถนำมาหักลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าคนพิการหรือคนทุพพลภาพที่นำมาลดหย่อนนั้นต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีด้วยนะครับ

 

การวางแผนภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบ SME ทุกคน เพราะจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจ่ายภาษีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประหยัดภาษีและเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจได้อีกด้วย

ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำการวางแผนภาษีสำหรับผู้ประกอบ SME ฉบับอัพเดทปี 2567 โดยเราจะครอบคลุมตั้งแต่พื้นฐานการวางแผนภาษีไปจนถึงเคล็ดลับการวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ

พื้นฐานการวางแผนภาษี

ก่อนอื่น ผู้ประกอบการ SME ควรเข้าใจพื้นฐานการวางแผนภาษีเสียก่อน โดยหลักๆ แล้ว การวางแผนภาษีมี 2 ประเภท ได้แก่

  • การวางแผนภาษีเชิงป้องกัน เป็นการวางแผนภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีที่ไม่จำเป็น เช่น การวางแผนภาษีเพื่อลดหย่อนภาษี การวางแผนภาษีเพื่อใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น
  • การวางแผนภาษีเชิงแก้ไข เป็นการวางแผนภาษีเพื่อลดภาระภาษีที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น การวางแผนภาษีเพื่อขอคืนภาษี การวางแผนภาษีเพื่ออุทธรณ์ภาษี เป็นต้น

เคล็ดลับการวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับเคล็ดลับการวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้

  • ศึกษากฎหมายภาษีอย่างละเอียด ผู้ประกอบการ SME ควรศึกษากฎหมายภาษีอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนในการเสียภาษี โดยสามารถศึกษาได้จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือหนังสือคู่มือการเสียภาษีต่างๆ
  • ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ หากผู้ประกอบการ SME ต้องการวางแผนภาษีอย่างรอบคอบ ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ เช่น กรมสรรพากร นักบัญชี หรือที่ปรึกษาภาษี
  • วางแผนภาษีล่วงหน้า ผู้ประกอบการ SME ควรวางแผนภาษีล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนก่อนสิ้นปี เพื่อให้มีเวลารวบรวมเอกสารและข้อมูลที่จำเป็นในการยื่นภาษี

ตัวอย่างการวางแผนภาษี

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการวางแผนภาษีสำหรับผู้ประกอบ SME บางส่วน

  • การวางแผนภาษีเชิงป้องกัน
    – การวางแผนภาษีเพื่อลดหย่อนภาษี เช่น การบริจาคเงินให้องค์กรสาธารณประโยชน์ การเลี้ยงดูบุตร การซื้อประกันชีวิต เป็นต้น
    – การวางแผนภาษีเพื่อใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การส่งเสริมการลงทุน การวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
  • การวางแผนภาษีเชิงแก้ไข
    – การวางแผนภาษีเพื่อขอคืนภาษี เช่น การขอคืนภาษีจากการซื้อสินค้าหรือบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การหักค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อธุรกิจ เป็นต้น
    – การวางแผนภาษีเพื่ออุทธรณ์ภาษี เช่น การอุทธรณ์ภาษีกรณีถูกประเมินภาษีผิดพลาด เป็นต้น
การวางแผนภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบ SME ทุกคน โดยผู้ประกอบการ SME ควรศึกษาข้อมูลและวางแผนภาษีอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถจ่ายภาษีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประหยัดภาษีและเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจได้อีกด้วย